เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ พ.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สิ่งมีชีวิตสำคัญที่ว่ามันมีความรู้สึก ถ้าสิ่งที่ไม่มีชีวิต เวลามันปั่นป่วนขึ้นมา เวลาน้ำป่ามา เห็นไหม เราต้องพยายามบังคับน้ำป่า เราจะมีการบังคับที่ลำบากเลย เวลาน้ำป่ามันไหลมา มันไม่มีชีวิต แต่เวลามันสงบตัวลง มันก็สงบตัวลงมันก็จบ น้ำป่าผ่านไปแล้วทิ้งแต่ความชุ่มชื้น ทิ้งแต่พวกปุ๋ยไว้ให้ แต่เวลาสิ่งมีชีวิตมันปั่นป่วน จิตใจเราปั่นป่วน เวลามันหมดไป มันทิ้งสิ่งใดไว้ให้?

มันทิ้งสิ่งที่ว่ามันเป็นความคิดขัดข้องหมองใจไว้ในหัวใจ สิ่งที่ขัดข้องหมองใจ เห็นไหม ถ้าสิ่งมีชีวิตมันถึงว่าสงบตัวแล้วมันไม่สงบตัวแบบความคิดเรา เราคิดกันเอง ในศาสนาสอนให้ปล่อยวาง ถ้าเราปล่อยวางแล้วก็จบ เราปล่อยวาง ถ้ามันปล่อยวางๆ แบบสิ่งไม่มีชีวิต มันปล่อยวางได้แล้วมันจบ มันไม่มีอะไรเคลื่อนไหว

แต่สิ่งที่มีชีวิตมันมีความรู้สึก ความซับซ้อน ความสุขความทุกข์ในหัวใจ สิ่งที่ความสุขความทุกข์ในหัวใจอันนี้มันขับเคลื่อนไป มันสะสมมา มันขับเคลื่อนไปแล้วมันเป็นจริตนิสัย มันเป็นความคิด

คนถ้ามันถูกจริตถูกนิสัย ถูกความชอบแล้วมันจะพอใจ แต่ถ้ามันขัดใจ สิ่งที่ขัดใจ บางอย่างคนบางคนก็พอใจในความเห็นของตัวเองว่าสิ่งนั้นถูกต้องสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง มันถึงต้องมีเรื่องศาสนาไง เรื่องศาสนาเข้าไปใคร่ครวญตรงนี้

แต่ก่อนแต่เดิมมาไม่มีศาสนา เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับพวกอาฬารดาบส เห็นไหม ทำความสงบของใจ ใจมันก็สงบได้ แต่สงบของใจมันสงบแบบหินทับหญ้า เพราะอะไร? เพราะมันเกิดดับ สิ่งที่มันเกิดอีกมีอีก มันเกิดอีกก็โดยธรรมชาติของมันเพราะมันสิ่งที่มีชีวิต

สิ่งมีชีวิตมันมีวิญญาณครองด้วย สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครองมันก็เป็นตามสภาพของมัน มันถึงเป็นไปตามสภาพของมันสภาพแบบนั้น มันธรรมชาติของมัน ถ้ามันสิ่งอำนวยพร้อมไง อย่างเมล็ดพืชนะ ถ้าดินดี น้ำดี ลงไปที่ดินแล้วมันจะต้องเจริญงอกงามขึ้นมาต้องเกิดขึ้นมา ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีชีวิตอยู่มันก็จบสิ้นกันไป สิ่งนั้นจบสิ้นกันไป เมล็ดพืชนั้นจบสิ้นกันไป

แต่ชีวิตเราที่วิญญาณครอง วิญญาณนี้มันไม่จบสิ้นขึ้นไป มันตายแล้วตายเกิดตายแล้วตายเกิด แต่เรามองไม่เห็น สิ่งที่เรามองไม่เห็น เราเชื่อสิ่งนั้นไม่ได้ มันถึงว่าเรารับสิ่งนั้นไม่ได้ แต่ถ้าสิ่งที่ตามความเป็นจริง เห็นไหม ผู้ที่เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะในหัวใจของตัว เวลาจิตมันสงบขึ้นมามันสงบ มันสงบขึ้นมาแล้วเห็นสภาวะมันมีอะไรเหลืออยู่ในความรู้สึกนั้น

สิ่งที่เหลือ... ความรู้สึกนั้นมันเป็นตะกอนนอนใจนั้นเป็นกิเลส เห็นไหม เป็นกิเลสนี่มันเหมือนกับเป็นกุศล

กุศลกับอกุศล เห็นไหม ทำบุญกุศลมันก็เกิดดี เกิดเป็นไปตามธรรมชาติของมัน มันจะเวียนไปตามสภาพของมัน มันจะเวียนเกิด เวียนเกิดโดยสภาพความเป็นบุญกุศลความประสบความสำเร็จ ถ้ามันเป็นบาปอกุศลขึ้นไปเกิด มันก็ทำให้มีความทุกข์ความยากตามอำนาจของมัน เวลาเกิดมาแล้วมันถึงไม่สมกับความพอใจ

ความพอใจ ความปรารถนาของเรามันไม่สมประโยชน์ บางทีมันไม่สมประโยชน์เพราะมันไม่เป็นจังหวะไม่มีโอกาส วาสนาของเราไม่พอ ถ้าวาสนาของเราไม่พอ อินทรีย์แก่กล้าถึงต้องสะสม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้อย่างไร สละมานะ แล้วควบคุมใจของแต่ละภพแต่ชาติขึ้นมา เป็นพระเวสสันดร เห็นไหม เป็นภพชาติต่างๆ ต้องบังคับใจของตัว พยายามรักษาใจของตัว เพราะมีกิเลสอยู่ เราก็เหมือนกัน บังคับใจของตัว

แต่มันเป็นการกระทำไง ทำบุญกุศลทำจนเป็นความเคยชิน สิ่งที่ความเคยชิน เห็นไหม คนดีทำความดีง่าย แต่ความผิดพลาดทำแล้วมันตะขิดตะขวงใจ คนชั่วทำความชั่วง่ายเพราะเคยทำนะ คนเคยทำตามอำนาจของใจ เคยตัวแล้วทำสภาวะแบบนั้น

การฝึกฝน เห็นไหม แม้แต่มีกิเลสก็ฝึกฝนได้ คนเราฝึกฝนได้ สัตว์ยังฝึกฝนได้ สัตว์เวลาเขาฝึกฝนแล้วเอามาใช้งานจะเป็นประโยชน์มาก แต่เราฝึกฝนเราเอง ฝึกฝนเป็นคนดี ฝึกฝนแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต้องเป็นพุทธภูมิขึ้นมา สะสมภพชาติขึ้นมา ควบคุมใจของตัวเอง ฝึกฝนจนเป็นความเคยชิน ทำแต่คุณงามความดีมาตลอด คุณงามความดีนะ ถึงที่สุดแล้วต้องมาตรัสรู้ธรรม

เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ เพราะใจดวงนี้มันจะเกิดพลังงานของมัน พลังงานของมันเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม อาสวักขยญาณ ญาณความรู้สึก ญาณความรู้สึกนะ เรารู้สึกนี่ก็เป็นญาณอันหนึ่ง แต่ญาณหยาบๆ

อาสวักขยญาณ ญาณที่ว่ามันเกิดปัญญา เกิดความคิดการดัดแปลงใจ มันจะดัดแปลงเข้าไปเห็นภายในนะ มันจะดัดแปลงขึ้นมาคือว่ามันแก้ไขไง มันมีความคิดละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป แล้วมันไม่มีที่สิ้นสุด ความคิดเรามีที่สิ้นสุดไหม? ไม่มีที่สิ้นสุด มันละเอียดขึ้นไป มันไม่รู้จะจบที่ไหน

แต่ถ้าพูดถึงการภาวนาขึ้นมา มันจะจบที่ว่าเวลาจิตมันสงบขึ้นมา มันย้อนกลับ เวลาย้อนกลับ ปัญญามันจะหมุนกลับเข้าไป มันชำระขึ้นไปแล้วมันจะปล่อย

เวลาสงบนี่สงบธรรมชาติ ความสงบของสิ่งไม่มีชีวิต มันสงบของมันนะ ความสงบเป็นความสุขอย่างยิ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ความสุขเท่ากับความสงบของใจนี้ไม่มีเลย”

ความสุขของโลกนี้มันเป็นอามิส เป็นสิ่งที่ว่าพอใจ สิ่งที่ต้องเติม เติมเต็มความพอใจแล้วมันจะพอใจสิ่งนั้น แล้วจะหยุดสิ่งนั้นได้ แต่สิ่งที่ว่ามันเติมเต็มแล้วมันก็พร่องไป เพราะมันเป็นอามิสใช่ไหม?

แต่ความสงบของใจมันเติมเต็มนะ มันทำความเห็นของใจ สมุทัย ตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เกิดดับมันมีความอยากของมัน มันแก้ไข มันเติมเต็มด้วยการเอาออกไง การสละออกสิ่งนั้น แต่สละออกได้ก็สละออกได้ด้วยปัญญา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนี้ อาสวักขยญาณเกิดขึ้นมา ปัญญาเกิดขึ้นมา มันถึงจะทำความสงบของวิญญาณตัวนี้ได้ตามความเป็นจริง ความสงบของเรา การปล่อยวางมันสงบไม่พอ พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางแล้วๆ

ปล่อยวางแบบสัตว์เดรัจฉานนะ มันนอนอยู่ เห็นไหม มีพระอยู่กับหลวงปู่ชา เวลาหลังคามันรั่ว “จะปล่อยวางแล้วไม่ดูแล นี่ปล่อยวาง”

ท่านบอก “ปล่อยวางเหมือนสัตว์”

สัตว์นี่มันปล่อยวางแล้วมันทนเอา แต่ถ้ามันทนเอา มันเกิดดับ มันรู้จักมันไม่มีปัญญา แต่คนเรามีปัญญา เห็นไหม ฝึกใจได้ ใจนี่ฝึกได้ ฝึกให้เป็นคนดีมันก็ฝึกได้ ฝึกด้วยการกระทำ ด้วยข้อวัตรปฏิบัตินี้ เคยทำทุกวันๆ ทำจนเคยชินนะ เคยชินเป็นจริตเป็นนิสัย สิ่งที่เป็นจริตนิสัยมันก็สะสมไป คุณงามความดีสะสมไป

แต่คุณงามความดีแล้ว มันเป็นพลังงานแล้วมันไม่จบ สิ่งที่พลังงานอันนี้ไม่จบ มันจบไม่ได้เพราะอะไร? เพราะพลังงานมันตัดไม่ได้ สิ่งที่จะเป็นพลังงานตัดตัวนี้คือมัคคสามัคคี การมัคคสามัคคี ปัญญามันรอบตัวนะ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ ความเพียรชอบจะย้อนกลับเข้ามาจากภายใน

ย้อนกลับเข้ามาจากภายในนะ ปัญญามันเกิดแล้วมันใคร่ครวญ ภายในนะ แล้วเป้าหมายอยู่ที่ไหน? เป้าหมายอยู่ที่สติปัฏฐาน ๔ เป้าหมายของมันต้องมีเป้าหมาย จุดของงานชอบ สิ่งที่เป็นงานชอบ เป้าหมายมันจะชอบ ถ้าเป้าหมายมันผิด เห็นไหม เป้าหมายผิดมันทำความผิดขึ้นไป จะจบกันที่ไหน?

เวลาปลูกต้นไม้เราปลูกลงที่ดิน ปลูกลงที่ดินปลูกแล้วให้มันเจริญงอกงามขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน เราปลูกธรรมขึ้นมาเกิดจากที่ใจ ธรรมดากิเลสมันเกิดจากใจนะ มันเกิดแล้วมันฟูขึ้นที่ใจ มันจะฟูเฟื่องของมันตลอดไป มันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีสิ่งใดที่จะไปบังคับมันได้ ต้องทำความสงบของใจ

ความสงบอย่างนี้หินทับหญ้า สิ่งที่เป็นหินทับหญ้า ต้องทำความสงบเข้ามา มันจะสงบเข้ามาๆ สงบเข้ามาจากภายใน ความเป็นหินทับหญ้าไว้ หินทับหญ้าไว้แล้วปัญญาค่อยใคร่ครวญชำระมัน มันจบตรงนี้ไง จบตรงงานชอบ แต่ถ้ามันไม่สติปัฏฐาน ๔ มันพลิกแพลงของมันไป มันจบงานไม่ชอบ มันมีความคิดส่งออก

สิ่งที่ส่งออกไปมันหมุนออกไป มันเหมือนกัน มันเป็นอุปกิเลส สิ่งที่เป็นอุปกิเลส เห็นไหม ความสว่าง ความผ่องใสนี่เป็นอุปกิเลส ความผ่องใสอย่างนั้นมันสว่างมันผ่องใส แต่มันเป็นอุปกิเลส อุปกิเลสอันอย่างละเอียดไง นี่ก็ปัญญามันเกิดขึ้นมา ถ้ามันไม่เป็นงานชอบ มันก็ย้อนกลับเข้ามา มันเป็นวิปัสสนึก

วิปัสสนานี่มันต้องย้อนกลับเข้ามา วิปัสสนึกคือมันนึกเอา มีตัวตนของเรา มรรคไม่รวมตัว ไม่มัชฌิมาปฏิปทา ไม่เป็นธรรมชาติของมัน ไม่เป็นตามความเป็นจริงของมัน แต่ถ้ามรรคมันเกิดตามธรรมชาติของมัน มันไม่มีตัวตนไง ตัวเราเข้าไปควบคุมไม่มี มันจะสามัคคีของมัน มันรวมตัวของมัน

นี่งานชอบชอบอย่างนี้ ชอบในสติปัฏฐาน ๔ ด้วย ชอบในการที่ว่ามันเป็นความเพียรชอบด้วย เราจะมุ่งหมายไม่ได้ เราจะคาดการณ์ไม่ได้ คาดการณ์มันเป็นการคาดหมาย มันเป็นอดีตอนาคตไป การคาดการณ์ไป

การหวัง... หวังนี่หวังในเหตุได้ หวังแล้วมันต้องมีความขยันหมั่นเพียร เราทำความเพียร ทำความสงบของใจขึ้นมา มันเป็นงานอันประเสริฐของเราขึ้นมา งานอย่างนอกมันเป็นงาน คนเราเกิดมาต้องมีงาน คนเราจะมีคุณประโยชน์ขึ้นมามันต้องมีการงานขึ้นมา งานอันนั้นสร้างสมว่ามันไปแสดงออกไง

ถ้าคนละเอียดอ่อน งานนี้มันจะเสร็จสมบูรณ์ มันไม่ค่อยพลัดพราก ถ้าคนหยาบทำงาน มันจะพลัดพราก มันจะผิดพลาดตลอดไป ความผิดพลาดของการทำงาน มันส่อออกถึงแสดงออกถึงจริตนิสัย

จริตนิสัยนะ มันละเอียดเข้ามา เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติเทียบกันตรงนี้ไง เทียบกันตอนการงานผิดพลาด ความผิดพลาดขึ้นมาแล้วย้อนกลับเข้ามา งานจากภายในก็เหมือนกัน ถ้าใจมันไม่มีความละเอียดรอบคอบขึ้นมา มันจะมีความผิดพลาดไป แล้วมีผลของมันไง ผลของมันคือความปล่อยวาง คือความว่างอันของใจ ใจมันปล่อยวางได้

คนเราเป็นสัมภาระในหัวใจ เวลารับรู้สิ่งใดรับรู้ไว้ ยกไว้ มันมีความหนักตลอด แต่มันปล่อยวางมันจะว่างหมดๆ แต่ว่างอย่างนี้มันไม่จบสิ้นกระบวนการ ถ้าจบสิ้นกระบวนการ มันต้องพยายามทำขึ้นมาจนมันสมุจเฉทปหาน สิ่งที่สมุจเฉทปหานมันจะแยกออกไป จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ ทุกข์เป็นทุกข์ มันจะแยกออกจากกัน

สิ่งที่แยกออกกันนี้ มันต้องเป็นธรรมชาติของมัน เป็นธรรมความเป็นจริง เป็นอกุปปธรรม เป็น “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” นะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา” มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น วัตถุสิ่งต่างๆ ต้นไม้เกิดขึ้นมามันต้องตายไป หมดอายุขัยมันต้องตายมันไป มันเป็นธรรมชาติของมัน แต่อะไรรับรู้ล่ะ? เพราะมันไม่มีวิญญาณครอง

นั่นน่ะความพลัดพรากของเขาเป็นจบสิ้นกระบวนการของเขา อนิจจังของเขาเป็นแบบนั้น แต่อนิจจังของใจมันมีจิตเป็นผู้รู้ จิตเป็นผู้รับรู้ แล้วจิตปล่อยวางเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป สุดท้ายแล้วต้องไปทำลายจิต จิตตัวนี้ก็ต้องทำลาย ถ้าไม่ทำลายมันก็จะรับรู้สิ่งนั้น รับรู้ความว่าง เห็นไหม โลกนี้ว่างหมด อากาศนี้ว่างหมด ความเห็นนี้ว่างหมด แต่ไอ้คนที่รับรู้ความว่างมี

วิญญาณตัวรับรู้มันจะรับรู้สิ่งที่มันมีอยู่ อันนี้มันถึงตกผลึกไง มันถึงเป็นจิตปฏิสนธิ มันจะพาไปเกิดอีก ถ้ามันปล่อยวางเข้ามาแล้วมันไปรับรู้ความว่าง มันเกิดเป็นพรหมแน่นอน มันต้องไปเกิดเป็นพรหมอีกเพราะมันมีตัวนี้อยู่

มันต้องทำลายตัวรับรู้ ตัวจิตนี่ แต่ทำลายมันได้ต้องพยายามเข้าไปถึงภายใน จิตมันจะเป็นความมหัศจรรย์

ศาสนาพุทธเราสอนตรงนี้ไง สอนตรงการกระทำของใจ การกระทำของนามธรรม ศาสนานี้สอนลงที่ใจ ใจมันมีความสุขความทุกข์ ความว่างเฉยๆ การปล่อยวางเฉยๆ ไม่พอ การปล่อยวางเฉยๆ เป็นสมถะ เป็นความว่าง เป็นสัมมาสมาธิ สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิไม่สามารถชำระกิเลสได้ คนทำงานอยู่ก็เป็นความเหนื่อย ความว่างอยู่ก็คนปล่อยวางอยู่มันก็เป็นคนเหมือนกัน มันมีความรู้สึกเหมือนกัน

ความว่างนั้นต้องมีการทำลายมัน มันก็จะเป็นความว่างเหมือนกัน ว่างปล่อยจากกิเลส กับว่างในศาสนาพุทธนี่มันเป็นว่างในวิปัสสนา มันว่างอย่างนี้ มันว่างเพราะมีงานทำขึ้นมา ไม่ใช่ว่างแบบว่างเฉยๆ ว่างแบบไม่มีงานทำ นั้นว่างอย่างนั้นใช้ไม่ได้

มันเป็นเหมือนกับวัตถุสิ่งหนึ่ง เราคนๆ หนึ่งมีความรู้สึก มีความเพียรของเรา เรามีความสุขความทุกข์ เราจะทำให้เรามีคุณค่าขนาดนั้นเชียวเหรอ? คุณค่าของเราต้องมีคุณค่ามากกว่านั้น ผลของมันก็มีคุณค่ามากกว่านั้น ถึงไม่มีความลังเลสงสัยไง เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน จิตนี้ปล่อยวางแล้วจะมีความสุขในหัวใจ ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ทั้งหมด

แต่ธรรมดาของเรา เราปล่อยวางได้ เห็นไหม เวลาเรามีความสุขมีความสบายใจ เราก็สบายใจอยู่ครั้งหนึ่งๆ มันก็ปล่อยวางชั่วคราวๆ เห็นไหม มันก็ปล่อยวาง แล้วทำไมมันปล่อยวางแล้วไม่สิ้นสุดล่ะ? มันปล่อยวาง เวลามันว่างขึ้นมา มันมีความสบายใจขึ้นมา นั่งอยู่ที่ไหนก็มีความสบาย วันนี้สบายใจหนอ วันนี้สบายใจหนอ

แต่เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะมันไม่สิ้นสุด มันไม่จบสิ้นด้วยภาวนาสมุจเฉทฯ ถ้าสมุจเฉทฯ แล้วมันจะไม่มีอีกเลย แต่สิ่งที่ละเอียดอยู่ กิเลสที่ละเอียดอยู่ มันมีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่สุดวิสัย สุดวิสัยเราก็ต้องตามเข้าไปชำระมันๆ จนถึงที่สุดต้องทำลายสิ่งที่รับรู้อันนั้นหมด มันถึงเป็นความว่างในศาสนาพุทธ มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์

“สุภัททะ! เธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล”

แล้วมรรคนี้มีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นนั้นเป็นลัทธิที่คำสั่งสอนกันตลอดมา แล้วมรรคอย่างหยาบ มรรคอย่างกลาง มรรคอย่างละเอียด เราไม่เข้าใจ เราว่ามรรคคืออะไร? มรรคคืออะไร? แล้วก็พูดออกมา เห็นไหม มรรคคือการเลี้ยงชีวิตชอบ ก็คิดว่าประกอบอาชีพชอบนี่เป็น

ประกอบอาชีพชอบนั่นมันเป็นมรรคผลไหม? ประกอบอาชีพชอบนี่เป็นเรื่องของโลกเขาใช่ไหม? ประกอบสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิต เลี้ยงจิตชอบ เห็นไหม จิตคิดผิดคิดถูก เลี้ยงชีวิต เลี้ยงอาชีวะ เลี้ยงความรู้สึกต่างหากล่ะ

ถ้าคิดชอบ มันเป็นงานชอบ ถ้าคิดผิด เห็นไหม เลี้ยงชีวิตชอบ มรรคมันจะเกิดมรรคอย่างหยาบ มรรคละเอียดขึ้นมา การสร้างมรรคมันจะเห็นขึ้นมาเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าเราไม่เห็น เราก็คิดออกมาเพราะอะไร? เพราะเราจะตีความคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนไง ว่าสัมมาอาชีวะคือการเลี้ยงชีวิตชอบ งานคืองานที่ประกอบอาชีพชอบ เห็นไหม เป็นงานที่สุจริตนี่ก็เป็นงานชอบแล้ว

มรรคอย่างนั้นมันเป็นโลกียะ มันเป็นเรื่องของโลกเขาเลย มันไม่เป็นเรื่องของเราเลย เรื่องของเราคือความคิดความเห็น การดัดแปลงใจ มันละเอียดอ่อนมากจนควบคุมแทบไม่ได้เลยถ้าไม่ฝึกฝน ถ้าฝึกฝนขึ้นแล้วมันจะควบคุมได้ แล้วมันจะทำของมันได้ แล้วมันชักเข้ามาถึงภายใน มรรคภายในจะเกิดขึ้นมาอย่างนี้

นี่มัคคอริยสัจจัง ทางอันเอกเอกอย่างนี้ ทางอันเอกเอกเพราะให้ใจมันพ้นทุกข์ได้ ไม่ใช่ทางของโลกเขา ประกอบสัมมาอาชีวะเจริญรุ่งเรืองขนาดไหนมันก็ต้องอยู่กับโลกเขาไปอย่างนั้น มันต้องถึงที่สุด มันต้องมีคนมาสืบต่อตลอดไป

แต่ถ้าใจมันจบแล้วไม่มีใครมาสืบต่อกัน ใจดวงนี้สิ้นสุดแล้วจบสิ้น แต่ถ้าไม่จบต้องเกิดตายนั้นต้องสืบต่อ ธรรมชาติของมันต้องสืบต่อไปในภพชาติ ภพชาติมีอยู่แน่นอน แต่จบสิ้นก็จบสิ้นด้วยการประพฤติปฏิบัตินี้ นี่ความสงบของใจ เอวัง